สัญญาณที่ดีของเอฟเวอร์ตัน

มันมีบางสัญญาณที่บ่งบอกว่าเหล่า เอฟเวอร์โตเนี่ยน ผู้จงรักภักดีทั้งหลาย คงไม่ต้องไปลุ้นให้หัวใจเต้นแรง จนถึงเกมสุดท้ายเหมือนซีซั่นที่ผ่านมาอีก

สามแต้มกับสกอร์ 3-2 ที่คว้าออกมา เซลเฮิร์สท์ พาร์ค โดยที่โดนเจ้าถิ่นตามตีเสมอสองครั้งสองครา ถือเป็นสิ่งที่ไม่ได้เจอกันบ่อยนักกับสโมสรที่เผชิญหน้าช่วงเวลาอันย่ำแย่รอบ 2-3ปี หลังมานี้ 

ทุกประตูของ เอฟเวอร์ตัน ก็ยังมาจากการเซตเกมเข้าไปทำอย่างยอดเยี่ยม จุดนี้ต้องให้เครดิต ฌอน ไดซ์ กับทีมงานเท่านั้นที่เปลี่ยนโฉมหน้าทีมๆหนึ่งที่เคยมีปัญหาหลักอยู่ตรงการจบสกอร์เมื่อไม่นานมานี้

สถิติไม่เคยโกหกใครครับ

นี่คือชัยชนะเกมที่ 6 จาก 9 เกมหลังสุดของพวกเขา

นี่คือครั้งแรกนับแต่ต้นเดือนมกราคมปี2022 ที่พวกเขามีแต้มห่างจากโซนตกชั้นมากถึง 8 แต้มเท่านี้

นี่ก็จึงหมายถึงการก้าวไปข้างหน้าที่อาจจะไม่ได้หวือหวาแต่ก็ทำให้สาวกทอฟฟี่ทั้งหลายได้ยิ้มออกบ้าง

ตอนไดซ์เข้ามารับตำแหน่งต่อจาก แฟร้งค์ แลมพาร์ด ทีมจมอยู่อันดับ 18 โดยมีแค่ 15 แต้มเท่านั้น ในเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว งานหนักตกอยู่กับอดีตโค้ชเบิร์นลี่ย์ ที่ต้องทำทุกทางเพื่อประคองให้ทีมอยู่รอด

ใช่ครับ เขาทำได้ ทำได้ในเกมสุดท้าย

กระนั้นความคาดหวังของแฟนบอลที่หวังจะเห็นทีมพัฒนาขึ้นในฤดูกาลใหม่ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่หวังไว้ ทีมเริ่มต้นด้วยการแพ้สามเกมรวดให้ ฟูแล่ม, แอสตัน วิลล่า ตามด้วย วูล์ฟแฮมป์ตัน ในแบบที่ยิงใครไม่ได้สักลูก!!

ถึงตรงนี้ก็ชัดเจนที่สุดว่ามันเป็นเพราะทีมในอุดมคติที่ไดซ์อยากให้เป็นนั้นยังขาดสมดุล ช่วงนั้น โดมินิค คัลเวิร์ต-ลูวิน ยังอยู่ในช่วงเรียกความฟิต

เอฟเวอร์ตัน ที่มีกับไม่มี 'DCL' ถือว่าต่างกันสิ้นเชิง คงจำกันได้ว่าสมัยที่เจ้าตัวพีกที่สุดจับคู่กับริชาร์ลิซอนนั้นก็เคยพุ่งถึงขนาดถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษชุดลุย ยูโร2022 มาแล้ว

ทุกสิ่งที่ ไดซ์ เคยพูดไว้เป็นจริงทั้งหมด

เขาเคยบอกว่าต้องใจเย็นกับ คัลเวิร์ต-ลูวิน เพราะร่างกายเปราะบางไปต้องอดทน เข้าทำนองภาษิตโบราณ 'อดเปรี้ยวไว้กินหวาน'    

เขาก็ยังให้คำสัญญาว่าจะทำ เอฟเวอร์ตัน ให้ดีขึ้นกว่าเดิมแต่ก็ต้องใช้เวลา มันไม่เคยง่ายในการทำทีมฟุตบอลโดยเฉพาะกับทีมที่โครงสร้างเต็มด้วยความพุพังตั้งแต่บนลงมาล่าง

เขาก็ได้ย้ำอีกว่าไม่ว่าจะชนะ เสมอหรือแพ้ก็ตาม ทีมที่เขาดูแลจะต้องโชว์ถึงระเบียบวินัยกับสปิริตนักสู้ในการเล่นไว้ก่อน นี่คือคาแรกเตอร์ของทีม

แน่นอนว่าเอฟเวอร์ตันยุคไดซ์ไม่ใช่ทีมที่เน้นการครองบอลแต่อย่างใด มีหลายเกมเลยที่ตัวเลขเปอร์เซนต์น้อยกว่าคู่แข่ง (สัปดาห์ก่อนเจอไบร์ทตันครองบอล20%) แต่ถามตรงๆว่าอะไรสำคัญกว่ากันระหว่างสไตล์กับผลการแข่งขัน?

หากเลือกได้ทุกคนก็คงอยากให้ทีมตัวเอานำเสนอฟุตบอลแบบแมนฯซิตี้ เพียงแต่มันทำกันไม่ได้ทุกทีม

ทิศทางของ เอฟเวอร์ตัน จึงน่าจะดีขึ้น อย่างน้อยก็คงไม่ต้องทำให้แฟนบอลนอนผวาไปจนถึงเกมสุดท้ายเหมือนเดิมอีก กลุ่มผู้เล่นชุดนี้ก็มีส่วนผสมที่ถือว่าลงตัวโดยเฉพาะตัวดาวรุ่งวัย 21อย่าง ยาร์รัด เบรนท์เวธ ก็กำลังโชว์ผลงานยอดเยี่ยมในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟ

นอกจากนั้นก็ยังมีนักเตะอีกบางคนที่มีการยกระดับฝีเท้าขึ้นมา ตัวอย่างแรกเลยก็ ไวตาลี่ มิโคเลนโก้ แบ็กซ้ายทีมชาติยูเครนที่ก่อนนี้จุดอ่อนอยู่ที่การเติมเกมรุก ทว่านี่พังตาข่ายได้แล้วสองเกมติดต่อกัน

เครดิตต้องให้ ไดซ์ กับทีมงานทุกคน

หากอีกสิ่งที่มีความสำคัญก็คือพวกแฟนบอลที่คงตามทีมต่อไปไม่ว่าจะเหย้าหรือเยือน ไม่ว่าจะต้องเดินทางไกลแค่ไหนและไม่ว่าสภาพอากาศจะเลวร้ายเพียงใดก็ตาม

"ไก่ป่า"


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ไก่ป่า
เอกราช นิติสุทธิ์สกุล
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport